วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ทฤษฎีบทพีทาโกรัส

1.  สมบัติของรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
      1.1สมบัติรูปสามเหลี่ยม

       รูปสามเหลี่ยม เป็นหนึ่งในรูปร่างพื้นฐานในเรขาคณิต คือ รูปหลายเหลี่ยมซึ่งมีมุม 3 มุมหรือจุดยอด และมีด้าน 3 ด้านหรือขอบที่เป็นส่วนของเส้นตรง รูปสามเหลี่ยมที่มีจุดยอด A,B, และ C เขียนแทนด้วย ABC


คุณสมบัติและการแบ่งประเภทของรูปสามเหลี่ยมตามความยาวของด้าน

       1.  รูปสามเหลี่ยมด้านเท่า   (equilateral) มีด้านทุกด้านยาวเท่ากัน และมีมุมทุกมุมขนาดเท่ากัน นั่นคือมุมภายในทุกมุมจะมีขนาดเท่ากัน คือ 60° และเป็นรูปหลายเหลี่ยมปกติ
รูปสามเหลี่ยมด้านเท่า
       2.รูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว (isosceles) มีด้านสองด้านยาวเท่ากัน และมีมุมสองมุมขนาดเท่ากัน คือมุมที่ไม่ได้ประกอบด้วยด้านที่เท่ากันทั้งสอง

รูปสามเหลี่ยมหน้าจั่ว

       3.รูปสามเหลี่ยมด้านไม่เท่า (scalene) ด้านทุกด้านจะมีความยาวแตกต่างกัน มุมภายในก็มีขนาดแตกต่างกันด้วย
รูปสามเหลี่ยมด้านไม่เท่า

คุณสมบัติและการแบ่งประเภทของรูปสามเหลี่ยมตามมุมภายใน
       1.  รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก (right, right-angled, rectangled) มีมุมภายในมุมหนึ่งมีขนาด 90° (มุมฉาก) ด้านที่อยู่ตรงข้ามกับมุมฉากเรียกว่าด้านตรงข้ามมุมฉาก ซึ่งเป็นด้านที่ยาวที่สุดในรูปสามเหลี่ยม อีกสองด้านเรียกว่า ด้านประกอบมุมฉาก  ความยาวด้านของรูปสามเหลี่ยมมุมฉากสัมพันธ์กันตามทฤษฎีบทพีทาโกรัส นั่นคือกำลังสองของความยาวของด้านตรงข้ามมุมฉาก c จะเท่ากับผลบวกของกำลังสองของด้านประกอบมุมฉาก a, b เขียนอย่างย่อเป็น a2 + b2 = c2 ดูเพิ่มเติมที่ รูปสามเหลี่ยมมุมฉากพิเศษ
รูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
       2.  รูปสามเหลี่ยมมุมเฉียง (oblique) ไม่มีมุมใดเป็นมุมฉาก ซึ่งอาจหมายถึงรูปสามเหลี่ยมมุมป้านหรือรูปสามเหลี่ยมมุมแหลม
            2.1 รูปสามเหลี่ยมมุมป้าน (obtuse) มีมุมภายในมุมหนึ่งมีขนาดใหญ่กว่า 90° (มุมป้าน)
            2.2. รูปสามเหลี่ยมมุมแหลม (acute) มุมภายในทุกมุมมีขนาดเล็กกว่า 90° (มุมแหลม) รูปสามเหลี่ยมด้านเท่าเป็นรูปสามเหลี่ยมมุมแหลม แต่รูปสามเหลี่ยมมุมแหลมทุกรูปไม่ได้เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า


การหาพื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม
       พื้นที่รูปสามเหลี่ยม = 1/2 ฐาน สูง
เช่น
จากสูตร          พื้นที่ของรูปสามเหลี่ยม           = 1/2 x ฐาน สูง

                                                                        = 1/2 x 20 x 16

                                                                        = 160 ตารางหน่วย

ตอบ พื้นที่รูปสามเหลี่ยม 160 ตารางหน่วย

2.  ทฤษฎีบทพีทาโกรัส


ทฤษฎีบทพีทาโกรัส

ในวิชาคณิตศาสตร์ทฤษฎีบทพีทาโกรัส แสดงความสัมพันธ์ในเรขาคณิตแบบยุคลิดระหว่างด้านทั้งสามของสามเหลี่ยมมุมฉาก กำลังสองของด้านตรงข้ามมุมฉากเท่ากับผลรวมของกำลังสองของอีกสองด้านที่เหลือ ในแง่ของพื้นที่ กล่าวไว้ดังนี้

ในสามเหลี่ยมมุมฉากใด ๆ พื้นที่ของสี่เหลี่ยมที่มีด้านเป็นด้านตรงข้ามมุมฉาก เท่ากับผลรวมพื้นที่ของสี่เหลี่ยมที่มีด้านเป็นด้านประชิดมุมฉากของสามเหลี่ยมมุมฉากนั้น

ทฤษฎีบทดังกล่าวสามารถเขียนเป็นสมการสัมพันธ์กับความยาวของด้าน a, b และ c ได้ ซึ่งมักเรียกว่า สมการพีทาโกรัส ดังด้านล่าง


                                                      


โดยที่ c เป็นความยาวด้านตรงข้ามมุมฉาก และ a และ b เป็นความยาวของอีกสองด้านที่เหลือ
ทฤษฎีบทพีทาโกรัสตั้งตามชื่อนักคณิตศาสตร์ชาวกรีก พีทาโกรัส ซึ่งถือว่าเป็นผู้ค้นพบทฤษฎีบทและการพิสูจน์  แม้จะมีการแย้งบ่อยครั้งว่า ทฤษฎีบทดังกล่าวมีมาก่อนหน้าเขาแล้ว มีหลักฐานว่านักคณิตศาสตร์ชาวบาบิโลนเข้าใจสมการดังกล่าว แม้ว่าจะมีหลักฐานหลงเหลืออยู่น้อยมากว่าพวกเขาปรับให้มันพอดีกับกรอบคณิตศาสตร์

ทฤษฎีบทดังกล่าวเกี่ยวข้องกับทั้งพื้นที่และความยาว ทฤษฎีบทดังกล่าวสามารถสรุปได้หลายวิธี รวมทั้งปริภูมิมิติที่สูงขึ้น ไปจนถึงปริภูมิที่มิใช่แบบยูคลิด ไปจนถึงวัตถุที่ไม่ใช่สามเหลี่ยมมุมฉาก และอันที่จริงแล้ว ไปจนถึงวัตถุที่ไม่ใช่สามเหลี่ยมเลยก็มี แต่เป็นทรงตัน มิติ ทฤษฎีบทพีทาโกรัสดึงดูดความสนใจจากนักคณิตศาสตร์เป็นสัญลักษณ์ของความยากจะเข้าใจในคณิตศาสตร์ ความขลังหรือพลังปัญญา มีการอ้างถึงในวัฒนธรรมสมัยนิยมมากมายทั้งในวรรณกรรม ละคร ละครเพลง เพลง สแตมป์และการ์ตูน

ทฤษฎีบทพีทาโกรัส: ผลรวมของพื้นที่ของสี่เหลี่ยมสองรูปบนด้านประชิดมุมฉาก (a และ b) จะเท่ากับพื้นที่ของสี่เหลี่ยมบนด้านตรงข้ามมุมฉาก (c) 
            ถ้าสามเหลี่ยม ABC เป็นสามเหลี่ยมมุมฉาก ซึ่งมี AĈB เป็นมุมฉาก ให้ a , b และ เป็นความยาวของด้านตรงข้ามมุม A , B และ C ตามลำดับ แล้วจะได้ความสัมพันธ์ระหว่างความยาวทั้งสามของสามเหลี่ยมมุมฉาก

ทฤษฎีบทปีทาโกรัสในอีกความหมายหนึ่ง
            ในรูปสามเหลี่ยมมุมฉากใดๆ พื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบนด้านตรงข้ามมุมฉากเท่ากับผลบวกของพื้นที่ของรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสบนด้านประกอบมุมฉาก

  
บทกลับของทฤษฎีบทปีทาโกรัส
            ถ้า a , b และ เป็นความยาวของด้านทั้งสามของสามเหลี่ยม ABC และ c2 = a2 + b2 แล้วจะได้ว่าสามเหลี่ยม ABC นี้เป็นสามเหลี่ยมมุมฉาก โดยมีด้านยาว c หน่วย เป็นด้านตรงข้ามมุมฉาก

การเปรียบเทียบทฤษฎีบทปีทาโกรัส กับบทกลับของทฤษฎีบทของปีทาโกรัส
ทฤษฎีบทของปีทาโกรัส
ข้อความที่เป็นเหตุ       คือ       ABC เป็นรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
                                                แทนความยาวของด้านตรงข้ามมุมฉาก
                                                และ แทนความยาวของด้านประกอบมุมฉาก
ข้อความที่เป็นผล        คือ       c2 = a2 + b2



บทกลับของทฤษฎีบทของปีทาโกรัส


ข้อความที่เป็นเหตุ       คือ       ABC เป็นรูปสามเหลี่ยม มีด้านยาว a , b และ หน่วย และ c2 = a2 + b2


ข้อความที่เป็นผล        คือ       รูปสามเหลี่ยม ABC เป็นรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก และมีด้านที่ยาว c หน่วยเป็นด้านตรงข้ามมุมฉาก

3.  บทกลับของทฤษฎีบทพีทาโกรัส

3.1  บทกลับของทฤษฎีบทปีทาโกรัส


บทกลับของทฤษฎีบทปีทาโกรัสนั้นเป็นจริง โดยกล่าวไว้ดังนี้กำหนด a, b และ c เป็นจำนวนจริงบวกที่ จะมีสามเหลี่ยมมุมฉากหนึ่งรูปที่มีความยาวด้านเท่ากับสามจำนวนนั้น และสามเหลี่ยมนั้นจะมีมุมฉากระหว่างด้าน a และ b

ชุดของสามจำนวนนี้เรียกว่า สามสิ่งอันดับพีทาโกรั อีกข้อความหนึ่งกล่าวว่าสำหรับสามเหลี่ยมใด ๆ ที่มีด้าน a, b และ c ถ้า แล้วมุมระหว่าง a กับ b จะวัดได้ 90°

บทกลับนี้ยังปรากฏอยู่ในหนังสือ Euclid's Elements ของ ยุคลิดด้วย

ถ้าในสามเหลี่ยมรูปหนึ่ง สี่เหลี่ยมบนด้านหนึ่งเท่ากับผลรวมของสี่เหลี่ยมบนอีกสองด้านที่เหลือของสามเหลี่ยมแล้ว แล้วมุมที่รองรับด้านทั้งสองที่เหลือของสามเหลี่ยมนั้นจะเป็นมุมฉาก

บทกลับนี้สามารถพิสูจน์ได้โดยใช้ กฏของโคไซน์ หรือตามการพิสูจน์ดังต่อไปนี้
สามเหลี่ยม ABC มีด้านสามด้านที่มีความยาว a,b และ และ เราจะต้องพิสูจน์ว่ามุมระหว่าง และ เป็นมุมฉาก ดังนั้น เราจะสร้างสามเหลื่ยมมุมฉากที่มีความยาวของด้านประกอบมุมฉาก เป็น และ แต่จากทฤษฎีบทปีทาโกรัส เราจะได้ว่าด้านตรงข้ามมุมฉากกำหนด

ด้านตรงข้ามมุมฉาก  ของสามเหลื่ยมรูปที่สองก็จะมีค่าเท่ากับ เนื่องจากสามเหลี่ยมทั้งสองรูปมีความยาวด้านเท่ากันทุกด้าน สามเหลี่ยมทั้งสองรูปจึงเท่ากันทุกประการแบบ "ด้าน-ด้าน-ด้าน" และต้องมีมุมขนาดเท่ากันทุกมุม ดังนั้นมุมที่ด้าน และ มาประกอบกัน จึงต้องเป็นมุมฉากด้วย
จากบทพิสูจน์ของบทกลับของทฤษฎีบทปีทาโกรัส เราสามารถนำไปหาว่ารูปสามเหลี่ยมใด ๆ เป็นสามเหลี่ยมมุมแหลม,มุมฉาก หรือ มุมป้าน ได้ เมื่อกำหนดให้ เป็นความยาวของด้านที่ยาวที่สุดในรูปสามเหลี่ยม
·         ถ้า สามเหลี่ยมนั้นจะเป็นสามเหลี่ยมมุมฉาก
·         ถ้า สามเหลี่ยมนั้นจะเป็นสามเหลี่ยมมุมแหลม
·         ถ้า สามเหลี่ยมนั้นจะเป็นสามเหลี่ยมมุมป้าน
กำหนดความยาวด้านทั้งสามของรูปสามเหลี่ยมต่างๆ ดังนี้จงหาว่ารูปสามเหลี่ยมในข้อใด
เป็นรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก
1) 6, 8, 10
วิธีทำ                62 = 36
                      82 = 64
                    102 = 100
              62 + 82 = 36+64
                           = 100
                     ดังนั้น 102 = 62 + 82
                     แสดงว่า เป็น Δ มุมฉาก

2) 4, 6, 8
วิธีทำ                    42 = 16
                             62 = 36
                             82 = 64
                      42+ 62 = 16+36
                                 = 52
                   ดังนั้น 82  42+ 62
                 แสดงว่าไม่เป็น Δ มุมฉาก
3) 8, 10, 12
วิธีทำ                    82 = 64
                          102 = 100
                          122 = 144
                  82+ 102 = 64+100
                               = 164
                 ดังนั้น 122  82+ 102
          แสดงว่าไม่เป็น Δ มุมฉาก
4) 8, 17, 15
วิธีทำ                   82 = 64
                          172 = 289
                          152 = 225
                   82 + 152 = 64+225
                                = 289
                 ดังนั้น 172 = 82 + 152
                แสดงว่า เป็น Δ มุมฉาก